แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บันทึกในเรือนจำ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บันทึกในเรือนจำ แสดงบทความทั้งหมด

5 ก.ค. 2556

วันแห่งอิสรภาพ หนุ่มเรดนนท์

เช้าตรู่ของวันศุกร์ ที่ 5 กรกฎาคม 2556 หลังจากเคารพธงชาติกันเสร็จแล้วตามปกติอย่างเช่นทุกวัน เสียงไมค์จากที่ทำการแดนหนึ่ง ก็ประกาศเรียกชื่อเราให้ไปพบ ก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่ามีธุระด่วน สำคัญอะไรกันนักกันหนาถึงต้องเรียกกันเช้าแบบนี้
 
หน้าประตูแดนมีเจ้าหน้าที่จากแดนนอกเข้ามาหลายคนไม่เหมือนปกติ อ้อ.. ผู้อำนวยการส่วนควบคุมผู้ต้องขังคนนั้นนั่นเอง แกกวักมือเรียก ให้เข้าไปคุยในห้องหัวหน้าฝ่ายควบคุมแดน 1 เราก็คิดว่า มีเรื่องอะไรแน่ๆ เลย จึงเดินเข้าไปพบด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
 
ผอ. เชิญให้นั่ง ในบรรยากาศเงียบสนิท แอร์เย็นฉ่ำจนหนาว เขามองหน้าผมอย่างมีรอยยิ้มเล็กน้อย

[หัวหน้า] เออ.. มีข่าวดี..
[เรา] ข่าวดีอะไรครับหัวหน้า?

[หัวหน้า] ข่าวดีละกันนะ เรื่องนั้นแหละ..
[เรา] เฮ้ย หัวหน้าอย่าล้อผมเล่นนะ เราเริ่มขนลุก แล้วมีน้ำออกจากตานิดๆ

[หัวหน้า] เอ๊า.. จะล้อเล่นทำไม นี่คุณอย่ามาร้องไห้นะ เดี๋ยวผมก็ร้องตามคุณหรอก ไป๊ ไปได้แล้ว เตรียมตัวเก็บข้าวของตัดผมให้เรียบร้อย วันนี้กลับบ้านไปหาลูกได้แล้ว
[เรา] จริงหรือครับหัวหน้า (ทีนี้ละน้ำตาไหลเลย แบบยั้งไม่อยู่) เราเดินเข้าไปกอด ผอ. แล้วกล่าวขอบคุณเขาด้วยความดีใจ และคิดว่ามันคือความฝันหรือเปล่านะ

เดินออกมาจากห้องหัวหน้าฝ่ายด้วยใบหน้าเหี่ยวๆ แต่เต็มไปด้วยความสุข ชูแขนซ้ายขึ้นข้างศรีษะ ท่ามกลางเพื่อนๆ ผู้ต้องขังที่ต่างก็มองมาดูด้วยความแปลกใจว่า ไอ้เหียกนี่ มันดีใจอะไรกันนักกันหนา
 
พอรู้ความจริง ทุกคนต่างก็เข้ามาแสดงความยินดีด้วย บ้างก็จับไม้จับมือ เข้ามากอด หยิกแก้ม ดึงผม สารพัด เอาเหอะ ใครจะทำอะไรก็ทำ เพราะวันนี้ เราจะไม่อยู่แล้ว
 
เราวิ่งไปบอกอาจารย์สุรชัยเป็นคนแรกเลย อาจารย์ถามว่าจริงหรอ แล้วได้คนเดียวหรอ เราก็ตอบตามความจริง อาจารย์ก็แสดงความยินดีด้วย เราแอบเห็นสีหน้าของแกที่ออกจะผิดหวังเล็กน้อย ที่น่าจะมีชื่อแกอยู่ในการอภัยโทษครั้งนี้ด้วย
 
ทันทีที่ข่าวการได้รับอภัยโทษเผยแพร่ออกไป เพื่อนๆ ต่างก็เข้ามาแสดงความยินดี ไม่ใช่แค่แดนหนึ่งที่เราอยู่แดนเดียว แต่แทบจะทุกแดนที่วันนี้ มีคนรู้จักเราเยอะ ก็แน่นอนละ เราอยู่มาสามปีเศษๆ แล้วนิ กว่าจะร่ำลา เขียนเฟรนชิฟกันเสร็จ แบ่งสมบัติส่วนตัว ที่ตอนนี้ มีคนมารุมมาตุ้ม ห้อมล้อมหน้าหลัง เพื่อมาขอของใช้เรา กว่าจะแบ่งเสร็จก็สามโมงกว่า
 
ผู้คุมเปิดเรือนนอนห้องเรา ให้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้อาบน้ำเตรียมตัว เราบอกลาไอ้เบิ้ม คู่คดีไอ้บอมบ์ คดีร่วมฆ่าเอกยุทธ อัญชันบุตร ที่นอนอยู่ข้างกันเสร็จ ก็หิ้วกระเป๋าสามไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่มีผู้มีพระคุณซื้อให้ และสำคัญที่สุด คือ ถุงเอกสาร อีเมล์จดหมายที่หวงแหนที่สุด ที่เก็บมันมาอย่างดี เป็นเวลาสามปีเศษ
 
คนที่กำลังจะเดินพ้นประตูเรือนจำ กับกระเป่าเอกสารพะรุงพะรัง สามใบ เหงื่อเปียกไปทั้งตัว แต่มีรอยยิ้มแห่งความสุขอยู่บนใบหน้า ถูกส่งไปยังห้องโถงใหญ่ ที่มีการจัดเตรียมพิธี เพื่อรอการอ่านพระบรมราชโอการฯ เจ้าหน้าที่บอกให้เราไปจูดธูปองค์พระประธานใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง เรานั่งลงด้วยอาการสงบ หลับตาลง และนั่งนิ่งๆ อยู่หลายนาที ขณะที่น้ำตามันก็ไหลออกมาเรื่อยๆ "นี่เราไม่ได้ฝันไปใช่มั๊ย"
 
ผู้บัญชาการ สรสิทธิ์ จงเจริญ เดินเข้ามายังห้องโถงที่เตรียมจัดพิธีอยู่ ด้วยชุดเครื่องแต่งกายเต็มยศ แบบเดียวกับที่พวก สส. ถ่ายที่หน้าทำเนียบตอนปรับ ครม. เลย พิธีดำเนินการดำเนินไปอย่างเคร่งเครียด ศักดิ์สิทธิ์ เรานั่งคุกเข่าอยู่หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ผู้บัญชาการอ่านพระบรมราชโองการอภัยโทษ เพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้น เมื่อจบ ผู้บัญชาการก็กล่าวอบรม แนะนำแนวทางชีวิตหลังพ้นโทษออกไป จากนั้น ก็มีการถ่ายรูปกัน เพื่อเก็บเป็นข้อมูล เพื่อถวายรายงานกลับไปยังสำนักพระราชวังต่อไป
 
พิธีเสร็จแล้ว เขาก็ให้เราไปตรวจสอบลายนิ้วมือ พิสูจน์เอกลักษณ์ที่เป็นขั้นตอนของทางเรือนจำตามปกติ จากนั้นก็มอบใบบริสุทธิ์ เพื่อแสดงว่า บัดนี้ สถานะ นช. (นักโทษชาย) ของเรา ได้กลับสู่สถานะ นาย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
 
เสร็จสิ้นกระบวนการทางเอกสารเรียบร้อยแล้ว เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้น จะถึงเวลาที่เรารอคอย เราแบกกระเป๋าสามใบ เดินตามผู้คุมออกไปยังประตูที่เราคุ้นเคย ประตูเหล็กหนา สูงใหญ่ เปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า ที่ปรกติเราจะไม่ค่อยได้เดินผ่านประตูนี้เท่าไหร่นัก เพราะมันเป็นประตูที่ใกล้กับประตูออกสู่โลกภายนอกมากที่สุด จะได้ผ่านประตูนี้ก็ต่อเมื่อเราต้องออกศาลเท่านั้น เราก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปยังอีกล็อคหนึ่ง แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นเพื่อนๆ มาคอยอยู่แล้วที่หน้าเรือนจำ
 
ผู้คุมที่ดูแลบัญชีเงินฝากผู้ต้องขัง และของฝากที่เราเคยฝากเอาไว้ตอนเข้ามาใหม่ๆ ก็นำเอาเงินฝากที่เหลืออยู่ไม่กี่พันบาท กับนาฬิกาเก่าๆ ที่หยุดเดินมานานแล้ว และเต็มไปด้วยสนิม นำมาให้ ผมเซ็นชื่อรับ และเดินออกจากประตูเรือนจำด้วยความดีใจที่สุด.. ผมเป็นอิสระภาพแล้ว
 
รวมระยะเวลาที่หมดสิ้นอิสรภาพ..
3 ปี 3 เดือน 15 วัน

12 ก.ย. 2555

วันแห่งความสุข ถอนอุทธรณ์ 12 กย. 55

 
 
เช้านี้ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ออกศาลหรือเปล่า เพราะเช็คกับพี่สุรเดชแล้วก็ยังไม่รู้เมื่อคืน เราเลยรอเขาประกาศเรียกตอนเช้า เมื่อคืนมีคดีชูวิทย์ เข้ามา 40 กว่่าคน ทำเอาห้อง 13 ที่เป็นห้องแรกรับแน่นไปด้วยผู้คน พอเปิดขัง กินกาแฟได้สักพัก พี่สุรเดช จึงประกาศชื่อของเราออกศาล ดีจังจะได้จบๆ เสียที เราจึงรีบเปลี่ยนชุดออกศาล แล้วเตรียมตัวไปศาลในทันที ลุ้นอยู่ว่าจะเอารองเท้าออกได้หรือเปล่า เจอพี่ใหม่ที่ประตู 4 เขาก็ทำเป็นไม่เห้น เราจึงเอาใส่ถุงขึ้นรถไป ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี

ถึงศาลประมาณเกือบ 9 โมง เห็นป๋าจอม เดินมาทักอยู่ไกลๆ ใส่ชุดแดงด้วย แล้วเราชี้นิ้วไปข้างบน เพื่อบอกว่าเจอกันข้างบนนะ

แล้วเจ้าหน้าที่ก็เรียกขึ้นไปที่ห้อง 913 หรือ 903 จำไม่ได้ละ พบคุณอานนท์ คุณนิ้ว (ไอลอร์) คุณปลา (ประชาไท) ป๋าจอม เคน เอกชัย (หงส์กังวาน) คนของโรเบิร์ด อัมสเตอร์ดัม 2 คน ป้า 2 คน พี่ตุ๋ย พี่ชาติ (สุชาติ นาคบางไทร) ญ+ช. คุณป้า (ที่ชอบ) ถ่ายรูป ตามไปให้กำลังใจคนของโรเบิร์ต สัมภาษณ์เราเป็นภาษาอังกฤษพอประมาณ โชคดีเราพอตอบได้ ไม่งั้นขายขี้หน้าแน่ เพราะมีหลายคนอยู่

ลงมายังยืนคุยกับพี่ชาติ (สุชาติ นาคบางไทร) และหลายๆ คนอยู่นาน พี่ชาติน่ารักมาก คุณนิ้วด้วย เดี๋ยวจะเขียนจดหมายแซวสักหน่อย

วันนี้ได้ออกไปโลกภายนอก มีความสุขจังเลย สรุป 2 พ.ค. 2555 เราถอนอุทธรณ์แล้ว !!

จบ..
12 กันยายน 2555

6 ส.ค. 2555

พวกเราอยู่กันจนถึงวันนี้ได้...ด้วยกำลังใจ (โครงการอีเมล์หยดน้ำ)

 

สองปีกว่าๆ แล้วที่พวกเราหลายสิบชีวิต ต้องถูกคุมขังอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่บ้านของพวกเรา คนไม่เคยติดคุกคงไม่รู้หรอกว่า วันเวลาที่ผ่านไปในแต่ละวัน มันทุกข์ใจขนาดไหน ผมอยากให้เพื่อนๆ ข้างนอกแค่ลองคิดดูก็ได้ว่าถ้าสักวันหนึ่ง อาจต้องมาอยู่ในคุก เอาแค่วันเดียวก็พอ ที่ๆ เราไม่มีใครรู้จัก แวดล้อมด้วยนักโทษคดีต่างๆ อยู่ในพื้นที่ที่ล้อมด้วยกำแพงสูง มีลวดหนามแน่นหนา อาหารการกินก็เทียบกันไม่ได้กับข้างนอก ต้องอาบน้ำ และนอนรวมกันกับผู้ต้องขังหลายสิบชีวิต และเปิดไฟตลอดทั้งคืน ไม่ได้กอดคนรัก ไม่ได้พูดคุยกับพี่น้องญาติมิตร และอะไรต่างๆ อีกมากมาย เพื่อนๆ จะอยู่กันได้ไหม?

แต่พวกเราอยู่กันได้ อยู่โดยไม่ได้อยากจะอยู่ แต่มันประกันไม่ได้ เขาไม่ให้ บ้างก็ตัดสินมาแล้ว รอความช่วยเหลืออยู่ และรอมานานแล้ว ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายทางเลย คนอย่างพวกเราจะทำอะไรได้จริงมั้ย? ทั้งๆ ที่ครั้งหนึ่งเราเคยมีความภาคภูมิใจในการออกมาต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย โดยใช้สิทธิของประชาชน พลเมืองตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ความเป็นคนเสื้อแดงในวันนั้น มันช่างยิ่งใหญ่เสียจริงๆ เสียงปลุกเร้า กระตุ้นจิตใจให้ฮึกเหิม เสียงโห่ร้องของมวลชน ทำให้เรามีกำลังใจ และมีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พวกเราคงจะนึกภาพออก

พวกเราที่ถูกขังอยู่ในวันนี้คือพวกที่พลาดในวันนั้น หรือจะเรียกว่า ซวย ก็ได้ ซวยที่ถูกจับในฐานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเสื้อแดง ที่ซวยที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องที่เราซวยที่ถูกจับ แล้วยังต้องอยู่แบบตัวใคร ตัวมัน ไร้การเหลียวแล ช่วยเหลือจาก..ใครดีล่ะ เพื่อนๆ คิดว่าควรจะเป็นใครดี บอกตามตรงเลยว่าค่อนข้างผิดหวังมากๆ ไม่เชื่อถามพวกที่เพิ่งประกันตัวออกไปได้ล่าสุดดูสิ มุกดาหาร มหาสารคาม ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร?

แต่พวกเราก็โชคดีที่ยังมีมวลชนกลุ่มเล็กๆ เพียงไม่กี่คนที่เห็นว่าพวกเราก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน เป็นแดงที่ไม่ใช่แดงคอนเสิร์ต แต่เป็นแดงที่มีจิตใจงดงาม แวะเวียนมาให้กำลังใจคนตัวเล็กๆ กลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้แม้วันที่ไม่มีคนระดับแกนนำอยู่ในนี้แล้ว พวกเขาก็ยังมา (ขออนุญาตสดุดีความดีของพวกเขาในอนาคตแบบรวบยอดอีกที ผมไม่ลืมแน่นอน) มาอย่างสม่ำเสมอจนถึงปัจจุบันนี้ 

อยากจะบอกว่า พวกเราได้กำลังใจจากคนกลุ่มนี้ทั้งๆ ที่เราคาดหวังที่จะได้กำลังใจจากคนอีกกลุ่มหนึ่งมากกว่า  เพราะเหมือนนำเรามา กำลังใจน้อยนิดนี้สามารถเติมเต็มให้เรามีความหวัง และรู้สึกมีค่าขึ้น และไม่รู้สึกเสียดายที่เราต้องมาเผชิญชะตากรรมในคุก เรามีความหวัง และรู้สึกมีค่าขึ้น ไม่รู้สึกเสียดายที่เราต้องมาเผชิญชะตากรรมในคุก

นอกจากกำลังใจที่ได้จากมวลชนกลุ่มเล็กๆ นี้แล้ว อีกทางหนึ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจได้เหมือนกันก็คือ จดหมาย หรือไปรษณียบัตร เขียนข้อความสั้นให้กำลังใจพวกเรา ที่เห็นมีทำอยู่ช่วงหนึ่งในช่วงที่แกนนำยังอยู่ แต่หลังจากนั้นก็หายไป

เช่นกัน เราได้รับจดหมายจากบุคคลภายนอกน้อยมาก แทบไม่มี แม้แต่คนระดับหัวขบวนอย่างคุณสมยศ คุณสุรชัย ที่มีชื่อเสียงมากกว่าพวกเรา ก็ยังแทบไม่มีเลย แต่จดหมายน้อยๆ เหล่านี้อีกนั่นแหละที่เปรียบเสมือนสิ่งที่มีค่าที่สุดของพวกเรา ที่เราจะทนุถนอมเก็บเอาไว้อย่างดี เมื่อวันที่ท้อแท้ หมดกำลังใจ จดหมายพวกนี้แหละ จะช่วยเพิ่มกำลังใจให้เรามีรอยยิ้มได้ (อากงผู้ล่วงลับ เวลาดูจดหมายของหลานๆ ของป้าอุ๊ อากงยังร้องไห้ทุกครั้งเลย) สร้างน้ำตาด้วยก็ได้ ผมเองก็มักจะหยิบจดหมายเก่าๆ ที่เก็บเอาไว้มาอ่านเสมอ บ่อยที่สุดก็ของลูก ของป๊า ส่วนของเพื่อนๆ แทบไม่มีใครส่งมา ดูแล้วไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับ?

จุดนี้เอง จึงเป็นที่มาของโครงการที่ผมอยากชักชวนเพื่อนๆ ชาวไซเบอร์ ส่งอีเมลมาให้กำลังใจพวกเราหน่อย ก็ขอกันตรงๆ แบบนี้ ในฐานะที่ก็เป็นคนไซเบอร์เหมือนกัน เพราะผมรู้ว่ากำลังใจ จากคนข้างนอก มันสุดแสนจะมีค่าเพียงใดกับคนข้างใน แค่อีเมลครับ ไม่ต้องหยุดงานมาเยี่ยม ไม่เสียเงินด้วย อยากฝากกำลังใจให้ใครแบบเดี่ยวๆ หรือแบบกลุ่มก็ตามสะดวกครับ ส่วนรายละเอียด วิธีการส่ง รายชื่อผูต้องขังในแต่ละเรือนจำมีอย่างไร ขอแยกไว้อีกส่วนละกันนะครับ

สุดท้าย นี้ ผมหวังว่าคงจะไม่เป็นการขอมากเกินไป ผมเชื่อว่าถ้าโครงการนี้สำเร็จ พวกเราในนี้ก็คงจะมีกำลังใจมากขึ้นอีกเยอะเลย จริงๆ ครับ *0*


เชื่อมั่น และศรัทธา
หนุ่มแดงนนท์ (6 สิงหาคม 2555)

วันแห่งอิสรภาพ หนุ่มเรดนนท์

เช้าตรู่ของวันศุกร์ ที่ 5 กรกฎาคม 2556 หลังจากเคารพธงชาติกันเสร็จแล้วตามปกติอย่างเช่นทุกวัน เสียงไมค์จากที่ทำการแดนหนึ่ง ก็ประกาศเรียกชื่อเร...