4 ม.ค. 2551

แซยิดครั้งแรก.. กับหลานคนแรก

ด้วยความเชื่อของคนจีน บางคน บางกลุ่ม จะมีความเชื่อ ในเรื่องการจัดงานวันเกิดของตัวเอง ครั้งแรก ในชีวิต ก็ต่อเมื่อมีหลานคนแรก พ่อมก็เช่นกัน ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ตั้งแต่ผมเกิดมา และลูกๆ ของป๊าทุกคน จบการศึกษา และมีงานทำกันหมดแล้ว ป๊าก็ยังไม่ยอมจัดงานวันเกิดสักที

และแล้ว วันที่ผม และญาติพี่น้องของผมรอคอยก็มาถึง เพราะป๊า เป็นพี่ชายคนโตสุดในครอบครัว เป็นพี่ใหญ่สุ่ดในตระกูล จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 8 คน เพราะวันนี้ ผมซึ่งเป็นลูกคนที่ 3 ของป๊า เป็นลูกชาย และเพิ่งจะมีหลานชายคนแรกในตระกูล น้องเว็บ คือลูกชายของผม ตามธรรมเนียมจีน ให้ศักดิ์ ของความเป็นหลานชายคนแรก เท่ากันกับลุกชายคนเล็กของครอบครัวนั้นๆ ซึ่งหมายถึง น้องเว้บ มีศักดิ์ เป็นน้องชายคนสุดท้องของผมไปในตัว และครั้งนี้สำคัญมาก เพราะน้องเว็บ คือหลานชายคนแรก ที่เกิดจากลูกชาย ของลูกชาย ของต้นตระกูล (หลานใน) ดังนั้น การเตรียมจัดงานแซยิดของป๊า จึงได้กำหนดขึ้น หลังจากน้องเว้บเกิดได้ประมาณ 1 ปี
ปลายเดือนธันวาคม 2544 ต่อเนื่องไปถึงวันปีใหม่ 2545 เป็นฤกษ์งามยามดี ที่พวกเราต่างก็นัดแนะกันว่า จะมีงานมงคลงานนี้อย่างแน่นอน ผมเองก็ได้เตรียมตัวเอาไว้ เพราะเป็นงานที่พลาดไม่ได้ ถึงแม้ผมและครอบครัว จะพำนักอาศัยอยู่ที่ เมืองพัทยา จ. ชลบุรี ก็ตาม และเฝ้าใจจดใจจ่อถึงจะรอให้ถึงวันสำคัญวันนั้น โดยไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน ที่จะทำให้วันสำคัญวันนี้... ต้องมีอันล้มเลิกไป

ที่พัทยา ผมทำงานเป็น ผู้จัดการฝ่ายการเงิน บริษัท ของชาวเกาหลี ที่ทำธุรกิจชื่อดัง "พาราเดี้ยม" เทคชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา โดยปรกติ ผมจะทำงานช่วงกลางคืน ต่อเนื่องไปจนเช้ามึด กว่าจะเสร็จงาน กว่าจะเก็บเงินก็ตีสี่ตีห้าทุกวัน และคืนวันนั้น เป็นช่วงรอยต่อแห่งปี ที่พาราเดี้ยม ก็มีงานเฉลิมฉลองปีใหม่กัน และเลิกดึก กว่าวันปรกติธรรมดา ผมเอง วันนั้นก็เดินทางไปทำงานตามปรกติ ทุกอย่างดูเหมือนไม่มีอะไร ช่วงหัวค่ำ ยังโทรคอนเฟิร์มพี่ๆ น้องๆ ว่าให้คอย เพราะได้เช่ารถไว้แล้ว ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไปได้สวย โดยไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค

เมื่อเลิกงาน ผมก็รีบบึ่งมอเตอร์ไซค์คู่ชีพกลับมาที่บ้านทันที ตอนนั้น เวลาประมาณ ตีห้ากว่าๆ ง่วงมาก เพราะไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะคิดว่าจะได้นอนในรถ ตอนเดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯ ในเช้าวันนั้น แต่ปรากฎว่า เมื่อมาถึงบ้าน สิ่งที่ผมพบ คือกระดาษเปล่าใบหนึ่ง วางอยู่บนโต๊ะทำงานของผม เป็นข้อความที่เขียนโดยภรรยาของผม โดยมีข้อความบอกว่า ตัวเค้า กับลูก ได้ย้ายไปอยู่กับพ่อเรียบร้อยแล้ว (พ่อเค้าทำงานกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำที่ไหน) ไม่ต้องเป็นห่วง ขอแยกอยู่กับผมสักระยะเวลาหนึ่ง

อารมณ์ตอนนั้น ที่ได้อ่านข้อความในจดหมายฉบับนั้น ก็พลันตาสว่าง หายง่วงขึ้นมาทันที ผมไม่รีรอ คว้าโทรศัพท์ และโทรไปยังพ่อของแฟนผมทันที ใจไม่ได้โกรธแฟนนะครับ แต่ไม่ได้คิดถึงเลย คิดถึงแต่ลูกคนเดียวเท่านั้น ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนเพิ่งจะสูญเสียของที่รักไป และไม่รู้ว่าจะได้กลับคืนมาเมื่อไหร่ หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ และคิดในใจว่า ขอให้โทรติด จะได้ยืนยันว่า แฟนผม และลูก ได้อยู่ดี ปลอดภัย

ปลายทางรับสาย และบอกว่า ตอนนี้ แฟนผม กับลูก อยู่กับเค้า ไม่ต้องเป็นห่วง ผมเอง ก็เลยบอกไปว่า วันนี้เป็นวันแซยิดของป๊า ซึ่งเรานัดกันไว้แล้ว ผู้ใหญ่ที่บ้านก็คอยกันอยู่หลายคน ให้พ่อตาผมพาแฟนผม กับลุกไปที่บ้านแม่ผมด้วย แต่พ่อตากลับบอกว่า ต้องแล้วแต่ลุกเค้า ว่าจะเต็มใจไปหรือเปล่า เพราะแฟนผม เค้าคิดว่า ที่บ้านไม่รักเค้า ไม่ยอมรับเค้า ผมก็พูดให้พ่อตาเข้าใจ และขอคุยกับแฟนผม เพื่อต้องการคุยกับเค้าด้วยตัวเอง แต่พ่อตาไม่ยอมให้คุย เพราะบอกว่า แฟนผมนอนอยู่ เพราะเดินทางมาเหนื่อย ช่วงบ่ายๆ ค่อยโทรไปใหม่อีกทีละกัน

โอย.. จะบ้าตาย เครียดมากๆ แต่เนื่องจากที่เป็นคนที่ไม่ชอบคอยอะไร โดยที่ไม่ได้ทำอะไร ดังนั้น สิ่งเดียวที่รู้ คือพ่อตา เปิดร้านขายอาหาร อยู่แถวพัฒนาการ ที่เท่าไหร่ไม่รู้ตอนนั้น ผมเลยตัดสินใจ ขี่รถมอเตอร์ไซต์ จากพัทยา มุ่งสู่กรุงเทพฯ โดยทันที โดยเป้าหมายปลายทาง คือบ้านพ่อตา เพื่อให้ได้เจอหน้าเมีย และลูก เท่านั้นก็พอ

ระยะทาง จากพัทยา มากรุงเทพฯ สองร้อยกว่ากิโล ง่วงมาก และก็ไม่หยุดที่จะขี่รถไปเรื่อยๆ เพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางให้ใกล้ที่สุด เท่าที่จะใกล้ได้ จนมาถึงที่หมาย ก็โทรหาพ่อตาอีกที พ่อตาก็บอกว่าแฟนผมยังไม่ตื่น หรือไม่ก็ออกไปกินข้าว ยังไม่กลับมา ผมก็พยายามถามว่า บ้านพ่อตาอยู่ไหน แต่พ่อตาก็ไม่ยอมบอก เพราะแฟนผมสั่งเอาไว้ไม่ให้บอก ผมก็เลยหาๆ ต่อไป โดยขี่รถวนไปเรื่อยๆ เพื่อรอเวลาที่จะโทรถามต่อไป

และแล้ว ที่บ้านก็โทรมา ถามว่ามาถึงกรุงเทพฯ หรือยัง ผมก็เลยจำเป็นต้องบอกความจริงไป พูดไปร้องไห้ไป และโดนด่าไป ว่าทำให้งานใหญ่เสียไปหมด ผมได้คุยกับป๊า ม๊า และคนสุดท้ายคือน้องชายผม เค้าบอกว่า ให้ผมรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ เพราะเค้ารู้ว่าผมยังไม่ได้นอน และการขี่รถจากพัทยามากรุงเทพฯ มันเป็นเรื่องอันตรายมาก และพูดทิ้งท้ายไว้ว่า "ผมมีความสำคัญกว่าเมียผม และลูก ถ้าหากจะต้องเลือก พวกเค้า (พ่อแม่ พี่น้องผม) ขอเลือกผมจะดีกว่า" และบอกว่า ให้เดินทางกลับดีๆ ค่อยๆ ขี่รถกลับไป จริงๆ เค้าอยากให้ผมไปที่บ้านที่จัดงานด้วย แต่ผมไม่มีหน้าที่จะไปพบใครในตอนนั้นแล้ว ใจก็ห่วง คิดถึงลูก และอีกใจหนึ่งก็อายที่ทำให้งานแซยิดครั้งแรกของป๊า จะต้องมีอันเสียฤกษ์ เสียโอกาสดีๆ ไป และมันไม่มีโอกาสจัดใหม่อีกแล้ว เพราะเลยช่วงเวลาที่สำคัญเหล่านั้นไปแล้ว

หมดสิ้นหนทางที่จะดิ้นรนทำอะไรต่อไป ขากลับ เป็นช่วงเวลาที่ระทึกมากที่สุด เพราะจากการที่ไม่ได้นอนมาทั้งวัน ทั้งคืน เลยทำให้เกิดอาการหลับใน ขี่ไปเรื่อยๆ จำได้ว่า ไปหยุดที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ ใจกลางเมืองเลยนะครับ จอดรถเสร็จ ก็เดินเข้าไปในบ้านใครก็ไม่รู้แถวๆ นั้น เป็นบ้านส่วนตัวนะครับ เดินเข้าไป แบบหน้าตามอมแมมเลย และถามว่า "น้องเว็บอยู่ไหนครับ" ผมจำคำพูดตัวเองได้ตลอด โชคดี ที่เจ้าของบ้าน เค้าไม่กะทืบผมออกมาจากบ้านเค้า หรือไม่ผมก็จำไม่ได้แล้วว่าเค้ากะทืบผมหรือเปล่า แต่ที่รู้คือเดินออกมาจากบ้านนั้น และเดินทางกลับพัทยาแบบกะท่อนกะแท่นมาก

เป็นปีใหม่ที่เซ็งที่สุดในชีวิต เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็สลบคาที่ ตื่นมาอีกที ก็มึดของอีกวันหนึ่ง เมื่อหายมึนแล้วก็พยายามอีกครั้ง ที่จะติดต่อไปยังแฟนผมอีกครั้ง ในระหว่างที่กำลังโทรตามอยู่นั้น ก็ได้พบกับเพื่อนบ้าน และถามไปถามมา เค้าก็บอกว่า ไม่มีใครมารับแฟนผมหรอก แฟนผมคงอยู่ในพัทยาแหละ แต่ไปที่ไหนนั้น ต้องไปถามไอ้ปึ๊ดข้างบ้าน เพราะเห็นมันขับรถ และขนของบางส่วน พาแฟนผม กะลูกออกไปเมื่อเย็นวันก่อนปีใหม่

เอาละสิ เริ่มมีความหวังที่จะได้เห็นลูกขึ้นมาแล้ว ถ้าแฟนผมยังอยู่ในพัทยา ก็คงไม่มีที่มากมายที่เค้าจะไปไหนได้มาก เพราะเพื่อนเค้าก็เพื่อนผม สืบไปสืบมา ก็เลยรู้ว่าไปอยู่กับเพื่อนผมที่คอนโดแห่งหนึ่ง แถวๆ พัทยาใต้ ผมจึงได้รีบเดินทางไปพบในทันที

ได้มาเจอลูกอีกครั้ง.. ดีใจจัง ไม่โกรธ ไม่โมโหครับ เพราะตอนนั้น คิดแค่เพียงขอให้ได้เจอลูกเท่านั้น ส่วนแฟนผม ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเค้าหารู้ไม่ว่า หากวันนั้น ระหว่างเดินทางกลับกรุงเทพฯ ผมเกิดต้องโดนรถสิบล้อเฉี่ยวตาย หรือโดนรถชนตายไป เค้าจะมีโอกาสได้เจอผมอีกหรือเปล่า ไม่เลย ไม่มีการสำนึกใดๆ ทั้งนั้น ไม่มีแม้แต่คำว่าขอโทษ หรือเสียใจจากปากเธอเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับพ่อตาเค้า ที่ต่างสร้างเรื่องกันขึ้นมา เพื่อทำให้ผมได้ประสบเหตุการณ์อันเลวร้ายในเช้าวันปีใหม่

นี่เป็นเพียงบทบทแรกที่จะบอกให้รู้ถึงความเป็นพ่อตาที่ดี ของพ่ออดีตแฟนผม น้องเว็บ หากลูกโตขึ้น และได้อ่าน blog ของป๊าอันนี้ ก็ขอให้น้องเว็บรู้ว่าป๊านะรักน้องเว็บมากๆ นะ จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ป๊ายังเสมอต้นเสมอปลายกะเว็บอยู่เหมือนเดิม

และเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้แฟนผม เข้าหน้าไม่ติดกับครอบครัวใหญ่ของผม ไปอีกหลายปี ป๊าผม โกรธแทบไม่อยากมองหน้าเค้าอีก อาโกว อาเจ็ก ที่อยู่ร่วมงานในวันนั้น ต่างก็ประนามการกระทำในตรั้งนั้น อย่างรุนแรง ถึงขั้นชาตินี้ไม่ต้องเจอหน้ากันก็มี และเวลาผ่านไปหลายปี ก็ทำให้พวกเค้าสามารถที่จะให้อภัยกับความผิดพลาด โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในครั้งนั้นได้

ซึ่งใครจะไปรู้ว่า อีกสามปีต่อมา มันจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงอะไรขึ้นอีก.. ไว้มีโอกาสจะมาเล่าให้ฟัง

.

ไม่มีความคิดเห็น:

วันแห่งอิสรภาพ หนุ่มเรดนนท์

เช้าตรู่ของวันศุกร์ ที่ 5 กรกฎาคม 2556 หลังจากเคารพธงชาติกันเสร็จแล้วตามปกติอย่างเช่นทุกวัน เสียงไมค์จากที่ทำการแดนหนึ่ง ก็ประกาศเรียกชื่อเร...